เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ก.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราเกิดมา เห็นไหม ศาสนาพุทธเราให้ประหยัดมัธยัสถ์ มักน้อยสันโดษ เราก็ว่ามักน้อยสันโดษมันจะเป็นความทุกข์ เราว่าจะเป็นความทุกข์นะ แต่เราไม่เห็นบั้นปลายหรอก ถ้าเริ่มต้นมีแบบว่าความบากบั่นนะ บั้นปลายชีวิตจะมีความสุข ถ้าเริ่มต้นเราฟุ่มเฟือยนะ ต่อไปบั้นปลายเราจะมีความทุกข์ เพราะอะไร? เพราะว่ามันทำจนเคยไง จมไม่ลงแล้วมันยุ่งนะ

ดูพระเราสิ ถุงพลาสติกเวลาเรารับบาตรมาแล้วนี่เก็บนะ ทำความสะอาดไว้ใช้วันต่อไปๆ เพราะอะไรรู้ไหม? ไว้ใช้วันต่อไปเพราะของมันทิ้งไม่ลง มันทิ้งไม่ได้ แล้วมันไม่เคยอยู่ป่าไง ที่หัวหินก็ทำอย่างนี้ ที่ไหนเวลาอยู่ป่านะ เพราะอยู่ป่ามันไม่มีถุงพลาสติกหรอก เราใช้แล้ววันนี้เราก็เก็บทำความสะอาด แขวนไว้ให้แห้ง พรุ่งนี้เช้าเราก็ออกใช้ซ้ำ ใช้ซ้ำ

ถ้าของมีอยู่ เราว่าเราจะใช้แล้วทิ้งไปเลย ทิ้งไปเลย มันก็ทำได้ แต่ถ้าคนเราหัวใจมันเห็นคุณค่า นี่ความประหยัดมัธยัสถ์นะ ในตระกูลใดก็แล้วแต่รู้จักบำรุงรักษา รู้จักซ่อมแซมบำรุงนะ ตระกูลนั้นจะมั่นคง ถ้าตระกูลใดฟุ่มเฟือยนะ นี่อยู่ในนวโกวาท คาถาเศรษฐี เศรษฐีหมายถึงว่ารู้จักมัธยัสถ์ ประหยัด คนนั้นจะเป็นเศรษฐี แต่เราจะเอาแต่ความสะดวกสบาย แล้วสะดวกสบายเอาอะไรเป็นเกณฑ์วัดล่ะ?

ดูสิดูวัตถุที่เราหามานะ ใครรู้จักถนอมรักษา ใครรู้จักบำรุงรักษา วัตถุของเขาจะใหม่อยู่ตลอดเวลา ใครไม่รู้จักรักษา ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สิ่งนั้นจะทำให้ข้าวของนั้นเราใช้ไม่สะดวก ร่างกายก็เหมือนกัน ปัจจุบันนี้ เห็นไหม วงการแพทย์เขาต้องให้ออกกำลังกาย ให้ออกกำลังกายนะ ให้บำรุงรักษาร่างกายของเรา นี่ป้องกันดีกว่ารักษา ป้องกันไว้ไม่ให้มันเป็นนะ ถ้าเป็นแล้ว รักษาไปตามอาการ นี่เรื่องของร่างกายก็ต้องดูแลรักษา เรื่องของจิตใจ จิตใจสูงจิตใจต่ำมองกันที่ไหน? ร่างกายของเราเกิดมาโดยกรรมนะ นี่เกิดมาแล้วสภาวะแบบไหน? สูง ต่ำ ดำ ขาว คนจะสวย คนจะขี้เหร่ขนาดไหน นี่กรรมตกแต่งมา

เราทำกรรมไว้นะ ถ้าเราสละทานไว้ เกิดมาเราจะมั่งมีศรีสุขของเรา เราจะเป็นไปตามอัตภาพ รักษาศีลไว้ คนเรามีศีลมีธรรม เกิดมาจะสวยงามต่างๆ อยู่ตรงศีลตรงธรรมนี่แหละ ถ้ามีศีลธรรมขึ้นมา เห็นไหม ดูสิดอกไม้กลิ่นหอมด้วย แล้วดอกไม้สวยด้วย คนก็ต้องการ ดอกไม้กลิ่นหอม แต่ดอกไม้นั้นไม่สวยเลย คนก็ยังต้องการอยู่ ดอกไม้กลิ่นก็ไม่หอม แล้วอัปลักษณ์ด้วย คนไม่ต้องการเลย แต่คนเราก็เกิดในสภาวะแบบนั้น เกิดมาแล้วกรรมพาเกิด กรรมตกแต่งมาพาเกิด สิ่งนี้เป็นเรื่องของร่างกายนะ มันมองกันเห็นด้วยสายตา แต่ความสูงความต่ำของใจใครจะมองเห็นกันได้ล่ะ?

ความสูงความต่ำของใจนะ ถ้าใจสูงขึ้นมามันมีเมตตานะ มีคุณธรรม จะอยู่ที่ไหนก็เป็นคุณธรรมนะ สิ่งที่เป็นคุณธรรม จะอยู่ในที่ลับในที่แจ้ง คุณธรรมอันนี้มันฝังไปกับใจ เพราะมันเป็นความรู้สึกของเรา เห็นไหม สิ่งนี้จะฝึกฝนขึ้นมา เรามีลูกขึ้นมา เรามีลูกมีเต้าของเรา เราได้กอดลูกเราไหม? เราได้ดูแลลูกเราไหม? เพื่ออะไร? เพื่ออบรมศีลธรรม อบรมหัวใจให้อบอุ่น ถ้าเรากอดลูกเรา เราดูแลลูกเราให้เติบโตขึ้นมา ถ้าลูกเรา เราไม่มีโอกาสล่ะ? เราต้องปากกัดตีนถีบ เราจะไม่มีโอกาสเลย ลูกของเรา เวลาของเราไม่มี เราเห็นคนอื่นครอบครัวเขามีความสุข เราก็อยากมีความสุขกับเขา แต่เรามีหน้าที่การงานบีบคั้น สังคมก็ดูแลไง

นี่วัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธเรา สังคมจะมีความดูแลกัน จะเอื้ออาทรกัน ลูกใคร หลานใคร ลูกคนนี้ หลานคนนี้ จะรู้จักกันไปหมดนะ จะเดินไปที่ไหน จะตกทุกข์ได้ยาก จะมีอันตราย นี่พี่ ป้า น้า อา ในสังคมจะดูแล สังคมชาวพุทธเราเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าจิตใจอย่างนี้พัฒนาขึ้นมา มันจะดีขึ้นมา

ในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมทำให้นิสัยของคนเปลี่ยนแปลงได้ นี้สิ่งแวดล้อมนะ ถ้าสิ่งแวดล้อมดีแสนดีเลยนะ แต่จิตใจของคนมันไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มันยังขวางสังคมไปตลอด สิ่งนี้มันเกิดมา มันฝังใจของเขามา กรรมของเขา นี่กรรมอดีต กรรมในปัจจุบัน กรรมในอนาคต เรื่องของกรรม เรื่องการกระทำ ในการกระทำของเรา นี่เรื่องของโลกๆ เรื่องของความเป็นไปในวัฏฏะ เรื่องของการเกิดเป็นมนุษย์ไง เราจะมีความเป็นสุขของเรา สังคม ศีลธรรมจริยธรรมให้สมานฉันท์กัน ให้สังคมเป็นสุขนะ

นี่เห็นสังคมมีความสุขจากภายนอก แต่เวลาสังคมมีความสุขจากภายใน เวลามันเกิดดับนะ เราจะมีคุณค่า เราจะมีความดีขนาดไหนนะ “ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่” ความว้าเหว่ของดวงใจ วัฏฏะที่ยาวไกลเหมือนคนเดินอยู่กลางทะเลทรายแล้วล้มลง แล้วมองไปข้างหน้าทางยังต้องไปอีกตลอดเวลา นี่วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ ความเป็นไปอย่างนี้ จะมีคุณค่า จะมีศีลธรรมขนาดไหน นี่มันเป็นโลกปัจจุบันนี้ไง แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของการเกิดและการตาย จิตนี้มันยังสภาวะเป็นไปอีก เห็นไหม นี่คุณธรรมมันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ความหยาบๆ ก็เป็นความดำรงชีวิตของเรา ดำรงชีวิตเราให้มีความสุข มีความเจริญรุ่งเรืองในศีลธรรม

เราเกิดมาเราเสียสละ เราทำเพื่อเขา เราทำเพื่อสังคม เราทำเพื่ออะไร เพื่ออะไร? เพื่อให้มีอำนาจวาสนาไง เวลาเราไปเจอในสังคม เราจะเกิดในสังคมที่ดี จะมีคนเจือจานเรา จะเกิดในสังคมที่ดี เกิดพัฒนาหัวใจให้มันเข้มแข็งขึ้นมา จิตใจสูง จิตใจต่ำ จิตใจอ่อนแอ จิตใจเข้มแข็ง มันอยู่ที่ตรงนี้ กรรมที่มันให้ผลมา เวลามันเป็นไป เห็นไหม เวลากรรมที่ให้ผลมา อย่างนี้เราปฏิเสธได้ไหมล่ะ? มันเป็นอดีตมา นี่อดีต อดีตที่มันสร้างมาเป็นเรา ในปัจจุบันนี้ถ้าเราเห็นโทษของมัน ในปัจจุบันเราถึงจะทำความดีไง ในปัจจุบันเราถึงจะเหนี่ยวรั้งไง

รถทุกคนต้องการเครื่องแรง รถวิ่งไปด้วยกำลังของมัน คนไม่ค่อยได้เข้าใจเรื่องของเบรกนะ เวลารถวิ่งอยู่ ถ้าเบรกมันแตกรถนี่ลงข้างทางเลย ชีวิตเราก็เหมือนกัน มันต้องมีสติยับยั้ง มันต้องมีการยับยั้งของเรา นี่ควรเร็วควรเร็ว ควรช้าควรช้า ควรจะเป็นอย่างไร สมควร เห็นไหม กาลเทศะสำคัญนะ กาลเทศะจากข้างนอก กาลเทศะของเราจากภายใน เวลาเรามีความชุ่มชื่นในหัวใจ เรามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราจะหาความสุขของเราขึ้นมาจากภายใน

อามิสบูชา เราก็ทำบุญกุศลกันทุกวันๆ ทำแล้วได้เคยทำ ถ้าไม่ได้ทำมันก็ขัดแย้ง มันก็มีความอึดอัดใจ แต่ถ้าการภาวนาล่ะ? เราทำของเราเป็นปกติของเราขึ้นมา เห็นไหม นี่มันจะย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของเรา การที่เราจะภาวนา เริ่มต้นตั้งแต่ควรช้าก่อน ควรเร็วก่อน มันควรเป็นไป แต่นี่พอเราฟังธรรมแล้วเราอยากประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาผลเลย เราจะเอาผลเลย ก็เอาผลไม้บ่มแก๊สไง ถ้าบ่มขึ้นมาแล้วมันจะสุกก็ได้ มันจะเน่าเสียก็ได้นะ ถ้าผลไม้มันไม่แก่ เอามาบ่มมันก็เน่าเสียนะ

จิตใจก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีพื้นฐานของเรา เราไม่มีศรัทธาของเรา เราไม่หาของเรา เราเห็นว่ามรรค ผล นิพพาน มรรค ผล นิพพาน ก็จะเอามรรค ผล นิพพานกันเลย ทางลัดๆ กันไป ลัดอะไร? เหมือนเด็ก เด็กให้ทำงานหนัก เด็กให้เผชิญวิกฤติ เด็กมันเข็ดนะ หัวใจก็เหมือนกัน หัวใจถ้าเราเริ่มประพฤติภาวนา เราจะเอาให้ได้ผลของเราเลย เราไม่เคยหา นี่ทาน ศีล ภาวนา ไม่เคยเปิดทางของเรา ไม่เคยเปิดให้หัวใจมันได้ถ่ายเท

ความหมักหมมของใจนะ จิตนี้เวลามันหมักหมมของมัน มันเสียดแทงในหัวใจ เราจะทำอย่างไร? แล้วเวลาความทุกข์ในหัวใจ เราจะทำอย่างไร? เราจะทำอย่างไรนะ ข้างนอกก็ปลอบประโลมกันเฉยๆ เท่านั้นเอง แต่ถ้าเราฝึกฝนของเรา นี่ทุกข์มันมาจากไหนล่ะ? ทุกข์มาจากไหน? ทุกข์จากภายนอก ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทุกข์กาย เห็นไหม แดดร้อนมันเผาผลาญของมัน เราเร่าร้อนเราถึงทุกข์กายนะ ทุกข์ใจนี่อยู่ในห้องแอร์ อยู่ในความสงบ อยู่ในสโมสรสันนิบาต มันยังทุกข์ใจเลย แบกรับภาระผู้บริหารจัดการยิ่งทุกข์มาก

ผู้บริหารประเทศ เห็นไหม นี่ต้องรับผิดชอบทั้งประเทศ ต้องรับผิดชอบหมดเลย นี่ความรับผิดชอบมันทุกข์ไหม? ทั้งที่ว่าเราเป็นผู้นำเขา เราต้องเข้มแข็งให้เขาเห็นนะ ร้องไห้ให้ใครเห็นก็ไม่ได้ จะทำอ่อนแอให้ใครเห็นก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่หัวใจมันว้าเหว่ หัวใจมันเศร้าหมอง จะทำให้ใครเห็นว่าเราอ่อนแอก็ไม่ได้ ทุกข์ใจไหม? นี่มันทุกข์ใจมันทุกข์จากภายใน เห็นไหม ทุกข์กาย ทุกข์ใจ แล้วเวลาทุกข์ใจขึ้นมาเราจะแก้ไขอย่างไร?

นี่อยู่ในท่ามกลางความร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหนมันก็ทุกข์ของมัน ความทุกข์อันนี้มันเป็นอริยสัจ ความทุกข์อันนี้เป็นความจริง ความจริงเพราะเราเกิดมาเป็นความจริง แต่เกิดมาเราเป็นจักรพรรดิ เราเป็นผู้ปกครองเขา เราเป็นหัวหน้าเขามันก็มีความสุขอันหนึ่ง ความสุขคือสร้างบารมีไง เรามีโอกาสนะ ทุกคนอยากสร้างบารมี ทุกคนอยากสร้างให้หัวใจเข้มแข็ง หัวใจอ่อนแอขึ้นไป ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ถ้าหัวใจเข้มแข็งมาจากไหน? มันก็ฝึกสติไปนี่แหละ เห็นไหม เราเห็นคุณงามความดี เราก็มีสติย้อนกลับเข้ามาเลย ทำไมเขาทำได้? ทำไมเราทำไม่ได้? เห็นวัวเห็นควายมันไถนา ดูสิมันไถนานะ มันลากแอกของมันไป นี่ควายนะเขายังใช้ประโยชน์ของมันได้เลย แล้วของเรา หัวใจของเรา เราทำไมไม่ใช้ประโยชน์มัน? ร่างกายของเราเราใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง? เราบริหารจัดการ เราเป็นมนุษย์ เราคิดประสาเรา เราทำธุรกิจของเรา เราใช้ปัญญาๆ ปัญญาเพราะเราเกิดมาในสังคมอย่างนี้นะ ถ้าสังคมโบราณเขาไม่มีโอกาสให้เราได้ทำอย่างนี้ เราจะทำอย่างไร?

นี่สังคมมันจะเปลี่ยนแปลงตลอด โลกนี้เป็นอจินไตย ดูสิมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ภาวะโลกร้อน ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมดเลย เดือดร้อนขึ้นมา แล้วเราจะหนีกันไปไหนล่ะ? จะคนมั่งมีศรีสุข จะคนทุกข์คนเข็ญใจก็อยู่ในสภาวะอากาศเดียวกัน อยู่ในโลกใบเดียวกัน อยู่ในความเห็นอันเดียวกัน นี่ตลาดมันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าในตลาดเราให้มันยั่งยืนขึ้นมา เราทำเป็นประโยชน์กับเรา

นี่จากภายนอก แล้วจากภายในย้อนกลับมา ผู้บริหารจัดการ ผู้จัดการหัวใจของเรา มันก็เริ่มต้นจากความพอใจ ถ้าเราจะภาวนาขึ้นมา นี่โลกเขาบอกเลยนะ “ภาวนาไม่ได้นะ เวลาไปภาวนาจะเป็นบ้า จะเป็นอะไรไป จะเป็นบ้า จะเป็นอะไร...” เราทำคุณงามความดีมันจะเป็นบ้าไปได้อย่างไร? เราทำคุณงามความดี ความดีจะให้ผลเสียกับเราได้อย่างไร? ในเมื่อเราทำสิ่งที่ดี มันจะตอบสนองเป็นผลที่เลวได้อย่างไร?

แต่สิ่งที่มันจะเป็นไปอย่างนั้นเพราะอะไร? เพราะเราประมาทของเราเอง เราประมาท เราไปเชื่อกิเลสเราเอง เราไม่เชื่อในการประพฤติปฏิบัติที่ความถูกต้องไง ถ้าเราเชื่อการประพฤติปฏิบัติที่ความถูกต้อง เห็นไหม เราต้องมีความมัธยัสถ์ มีความอุตสาหะของเรา เราต้องตั้งสติของเราก่อน ไอ้นี่สติปล่อยให้มันเตลิดเปิดเปิงไปเลย แล้วก็คาดการณ์ จินตนาการกันไป มันก็บ้าได้น่ะสิ มันบ้าได้เพราะเราไปคาดการณ์ เราไปคาดหมาย เราไปสร้างภาพมัน ทำไมจะไม่บ้าล่ะ? ความบ้า มันก็เอาเชื้อความบ้าใส่ไปในหัวใจของตัวเองแล้ว มันจะไม่บ้าได้อย่างไร?

แต่ถ้าเราทำความถูกต้อง เห็นไหม ตั้งสติขึ้นมาก่อนสิ ทำความสงบของใจขึ้นมาก่อน มันจะบ้าได้อย่างไร? ในเมื่อเรากวาดพื้นที่ของเราให้ดี ทำพื้นที่ของเราให้ดี มันก็เป็นความดีไปสิ ความดีเกิดจากเรา เราทำความดีของเรามันไม่บ้าหรอก สร้างความดีต้องเป็นความดี แต่เราไม่เอาความดีเอง เราไปทำตามกิเลสเอง เราไปทำตามความคาดหมายของกิเลสเอง กิเลสสร้างภาพขึ้นมาเอง เวลาภาวนาไปต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น สร้างกันไปเอง มันก็เป็นไปตามจินตนาการ พอจินตนาการนี่หลักลอย เห็นไหม เราลองหลักลอย เราไม่ยืนอยู่บนแผ่นดิน เราก็ล้มอยู่แล้ว

จิตก็เหมือนกัน ไม่มีสติ ไม่มียับยั้งไว้กับสภาวะตัวจิตของเรา แล้วมันไม่หลักลอยหรือ? มันก็ไปตามเขา นี่ถ้าภาวนาเสีย เสียเพราะเราเชื่อกิเลสเราเอง เราเชื่อความเป็นไปของเราเอง แต่ถ้าเราเชื่อธรรมนะ นี่กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา เรามีจุดยืนขึ้นมาก่อน คนมีกำลังทำอะไรก็ได้ คนมีสติสัมปชัญญะจะทำอะไรก็ได้ ถ้ากำลังจะมีมาก มีน้อย สงบมาก สงบน้อย แล้วแต่กำลังของใจ แล้วแต่ความเป็นไป คนเราต้องใช้กำลังมากก็มี บางคนใช้กำลังพอสมควรแล้วก็ทำงานเลยก็มี

นี่ความเป็นไปของจิตมันต่างๆ กันไป เห็นไหม แล้วแต่ความเป็นไปของจิต อำนาจวาสนาบารมี เวลาภาวนาไปมันจะมาน้อยเนื้อต่ำใจตรงนี้ ทำไมเราทำไม่ได้อย่างนั้น? เขาทำได้เพราะเขาสร้างของเขามา เขาทำของเขามา นี่กรรมเก่ากรรมใหม่ที่ว่า เวลาปัจจุบันนี้เป็นกรรมปัจจุบันนะ นี่กรรมใหม่ แล้วกรรมเก่าล่ะ? กรรมเก่ามันก็ให้ผลมา ถ้ากรรมเก่าของเราเป็นอย่างนี้ ดูสิเรามานี่มีตัวเปล่าๆ เลย เขามาเขามีสมบัติพัสถาน เขามีทุกอย่างของเขามาพร้อมเขาก็สะดวกสบายของเขา เรามามีแต่ตัวเปล่าๆ เพราะเราทำมาอย่างนี้ เราก็ไปตัวเปล่าๆ ของเรา ตัวเปล่าเราก็ต้องหาสิ หาใบไม้ร่วงก็ได้ หาอะไร ทำอะไรก็ได้ นี่แหล่งน้ำเราก็มี อาหารเราก็หาเอาในป่า เพราะเรามาตัวเปล่า

ภาวนาก็เหมือนกัน ถ้ามันทุกข์ยากมันต้องเป็นตัวเราเอง เราก็ต้องบากบั่นของเราไป เห็นไหม มรรคเหมือนกัน ความเห็นเหมือนกัน เขากินอาหารอุดมสมบูรณ์ เรากินอาหารป่าก็ได้ เราเก็บเอาตามพืชสมุนไพรในป่าเราก็กินได้ ความบุกบั่นของเราไป ความมานะของเราไป ไม่ต้องไปเทียบเคียงของใคร สมบัติเรา เราได้กินอาหารของเราในปากของเรา มันก็บรรจุในท้องของเรา อาหารของเขาก็กินของเขา ก็บรรจุในท้องของเขา มันก็เป็นสมบัติของเขา

การปฏิบัติก็เหมือนกัน เราก็ปฏิบัติของเราไป นี่สร้างมาอย่างนี้ เวลาปฏิบัติไปแล้วมันจะเห็นของใครของมัน เวลาปฏิบัติไปแล้วทำไมเขาไปได้ เหตุการณ์อย่างนี้ทำไมเขาคิดออก ทำไมเหตุการณ์อย่างนี้เขามีปัญญาใคร่ครวญของเขาได้ เหตุการณ์อันเดียวกันเลย เราประสบเหตุการณ์อันเดียวกันทำไมเราใคร่ครวญไม่ได้ ทำไมเราไม่มีจุดยืน ทำไมเราจับผิดกัน อย่างนี้เป็นประเด็นที่ให้เราตีออกเป็นปัญญาของเราได้

นี่เพราะความสร้างมา จริตนิสัยความเป็นไปของจิต จิตมันเป็นไปอย่างนี้ ถ้าเข้าใจ ถ้าไม่ภาวนา ยังไม่เป็นคุณประโยชน์ของการทำคุณงามความดีมาแต่ที่เราสร้างมาหรอก ถ้าเราภาวนาไปเราจะเห็นคุณงามความดีของเราเลย เราได้ทำไอ้นี่มา ได้ทำไอ้นี่มา เห็นไหม เราได้สละมา เราได้ช่วยเหลือเจือจานกันมา มันนั่งแล้วมันอุ่นใจนะ แต่ดูสิถ้าหัวใจเราแห้งแล้ง หัวใจเรามีแต่ความหมักหมม เวลาไปนั่งมันก็ไฟทั้งนั้นแหละ มันเห็นโทษเห็นผลจากการทำมาเลย จากทำข้างนอกมา พอนั่งไปแล้วจะเห็นหมดเลยว่าเราทำอะไรมา ของของเราเองทั้งนั้นเลย

นี่มันถึงบอกว่า “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นผู้ใคร่ครวญสมบัติของตน แล้วตนจะได้ประโยชน์ของตน”

นี่หัวใจเข้มแข็งขึ้นมาอย่างนี้ หัวใจอ่อนแอ หัวใจเข้มแข็ง หัวใจมีจุดยืน หัวใจของเรา ธรรมะอยู่ที่นี่ หัวใจเท่านั้นเป็นภาชนะบรรจุธรรม หัวใจเท่านั้นสัมผัสกับธรรม พระไตรปิฎก หรือสิ่งต่างๆ มันเป็นตำรา มันไม่มีชีวิตหรอก เราไปอ่านมา เราไปค้นคว้ามา แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาเอง นี่ธรรมะภาคปฏิบัติ

ธรรมะภาคปฏิบัติโดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้ามีการปฏิบัติมันจะมีปฏิเวธ ปฏิเวธคือผล ผลที่ใจได้สัมผัส ใจที่รู้ สันทิฏฐิโก องอาจกล้าหาญมาก แล้วจะเจริญมาก ศาสนาเจริญๆ ตรงนี้ เจริญจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์ก่อน แล้วก็เจริญจากหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์เราพูดออกมาเป็นสัจจะความจริง แล้วออกมาจากใจดวงนั้นมาถึงใจของพวกเรา มันถึงเข้ากันได้ เอวัง